ไวรัสตับอักเสบซี (Hepatitis C Virus, HCV) ติดต่อได้อย่างไร และจะป้องกันอย่างไร ?

21 มิ.ย. 2559 เวลา 13:27 | อ่าน 7,197
แชร์ไปยัง
L
-Advertisement-
 
ไวรัสตับอักเสบซีคืออะไร
ผู้ป่วยโรคไวรัสตับอักเสบซี (Hepatitis C Virus: HCV) พบประมาณ 130-150 ล้านคนทั่วโลก และพบผู้ป่วยใหม่เพิ่มขึ้นประมาณ 4 ล้านคนในแต่ละปี เชื้อไวรัสตับอักเสบ ซี เป็นไวรัสตัวเดียวในจีนัส Hepacivirus โดยเป็นอาร์เอนเอไวรัสสายบวก (positive stranded RNA virus) ไวรัสตับอักเสบซีมี 6 สายพันธุ์ ได้แก่ 1 (โดยแบ่งเป็น 2 สายพันธุ์ย่อยได้แก่ 1a และ 1b), 2, 3, 4, 5 และ 6 โดยสายพันธุ์ที่พบมากทั่วโลก คือสายพันธุ์ 1 และสายพันธุ์ที่พบมากในประเทศไทยคือสายพันธุ์ 1 และ 3 การรักษาการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีแต่ละสายพันธุ์นั้นใช้สูตรยา ขนาดและระยะเวลาในการรักษาต่างกัน และผลสำเร็จในการรักษาก็ต่างกันด้วย

ไวรัสตับอักเสบซี (Hepatitis C Virus, HCV) ติดต่อได้อย่างไร และจะป้องกันอย่างไร

ไวรัสตับอักเสบซีติดต่ออย่างไร
โรคไวรัสตับอักเสบซีติดต่อจากเลือดสู่เลือด (blood to blood contact) เท่านั้น เช่น การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน บุคลากรทางการแพทย์ที่สัมผัสกับเลือดของผู้ที่ติดเชื้อ การสักร่างกาย เป็นต้น สำหรับการติดเชื้อโดยวิธีอื่น เช่น ทางเพศสัมพันธ์ การถ่ายทอดจากมารดาไปสู่ทารกพบได้น้อยมาก ส่วนการดื่มน้ำโดยใช้แก้วร่วมกัน การจูบกอด การสัมผัสร่างกาย ไม่ก่อให้เกิดการแพร่กระจายของเชื้อ

เมื่อติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีแล้วจะมีอาการอย่างไร ?
ผู้ป่วยที่ติดเชื้อแบบฉับพลัน (acute infection) ส่วนมากไม่แสดงอาการทำให้ผู้ป่วยไม่ทราบว่าได้รับเชื้อเข้าไปในร่างกายแล้ว แต่ในผู้ป่วยบางคนอาจพบอาการไข้คล้ายเป็นโรคไข้หวัดใหญ่ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ตัวเหลืองตาเหลือง โดย15%ของผู้ติดเชื้อจะสามารถหายได้เอง โดยเฉพาะในเด็กอายุน้อยกว่า 18 ปี จะมีการโอกาสพัฒนาของโรคน้อยและร่างกายสามารถกำจัดเชื้อได้เอง แต่ 85%ของผู้ป่วยจะกลายเป็นการติดเชื้อเรื้อรัง (chronic infection) ซึ่ง 20% ของผู้ป่วยจะมีการอักเสบของตับ ซึ่งการดำเนินอาการของโรคค่อยๆรุนแรงขึ้น และภายในเวลา 10-30 ปี จะเกิดเป็นโรคตับแข็ง มะเร็งตับ ต้องเปลี่ยนถ่ายตับ และบางรายเสียชีวิตได้ โดยผู้ป่วยภูมิต้านทานต่ำจากการติดเชื้อไวรัสเอชไอวี ผู้ที่มีการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ผู้ติดเหล้า และผู้สูงอายุ จะมีความเสี่ยงที่โรคจะเกิดความรุนแรงเพิ่มขึ้น จะเห็นว่าไวรัสตับอักเสบซีเหมือนเป็นภัยเงียบเพราะกว่าผู้ป่วยจะรู้ตัวว่าติดเชื้อก็เมื่อมีการดำเนินของโรครุนแรงแล้ว ซึ่งทำให้ยากต่อการรักษา

ปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบซีหรือไม่
จนถึงปัจจุบันนี้ยังไม่มีวัคซีนป้องกันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี


จะรู้ได้อย่างไรว่าติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี
การตรวจเลือดเป็นวิธีเดียวในการวินิจฉัยว่ามีการติดเชื้อหรือไม่ โดยตรวจหาแอนตี้บอดี้ของไวรัสตับอักเสบซี (antibody-HCV) และตรวจหาปริมาณอาร์เอนเอของไวรัส (HCV-RNA) เพื่อดูระดับความรุนแรงของการติดเชื้อ นอกจากนี้ ก่อนเริ่มให้การรักษาต้องตรวจหาสายพันธุ์ของเชื้อเพื่อใช้วางแผนการรักษาให้เหมาะสม รวมทั้งประเมินระดับการทำงานของตับ ความรุนแรงของอาการอักเสบและการเกิดพังผืดที่ตับเพื่อตรวจดูความรุนแรงของโรค โดยวัดปริมาณเอมไซม์ตับ เช่น AST, ALT METAVIR score เป็นต้น


ยารักษาไวรัสตับอักเสบซี

เมื่อติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีแล้วจะรักษาอย่างไร
เป้าหมายการรักษาในปัจจุบัน คือ การกำจัดเชื้อให้หายขาดอย่างถาวร โดยประเมินจากจำนวนเชื้อไวรัสในเลือดหลังการรักษาด้วยยา การทำให้พยาธิสภาพของตับดีขึ้น ทำให้ตับอักเสบหายไป ป้องกันตับแข็งและมะเร็งตับ

ยามาตรฐานที่มีในประเทศไทยในปัจจุบันได้แก่
1. Pegylated interferon alfa-2a และ alfa-2b ฉีดเข้าใต้ผิวหนัง

2. Ribavirin รับประทาน ขนาด 800-1200 มิลลิกรัม/วัน

3. Boceprevir รับประทาน ขนาด 800 มิลลิกรัม/วัน วันละ 3 ครั้ง

4. Sofosbuvir รับประทานขนาด 400 มิลลิกรัม วันละ 1 ครั้ง

5. Daclatasvir รับประทานขนาด 60 มิลลิกรัม วันละ 1 ครั้ง

6. Ledipasvir รับประทานขนาด 90 มิลลิกรัม วันละ 1 ครั้ง


เนื่องจากเชื้อไวรัสเกิดการดื้อยาได้ง่าย การใช้ยารักษาต้องใช้ยาหลายชนิดที่มีกลไกการออกฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อไวรัสในแตกต่างกันร่วมกัน ซึ่งการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีแต่ละสายพันธุ์จะมีสูตรยาที่ใช้รักษาและเวลาการรักษาแตกต่างกันด้วย โดยทั่วไปใช้เวลารักษานาน 12-48 เดือน แต่ในระหว่างการรักษา แพทย์จะประเมินผลการรักษาเป็นระยะ เพื่อปรับแผนการรักษาให้เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย และปัจจุบันมียาใหม่ๆซึ่งออกฤทธิ์ฆ่าเชื้อไวรัสตับอักเสบซีโดยตรง ให้ผลการรักษาที่มีประสิทธิภาพสูงและใช้เวลาในการรักษาสั้นกว่าเดิม



บทความเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน โดย

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. วิลาสินี หิรัญพานิช ซาโตะ
(สอบทานความสมบูรณ์และถูกต้อง : รองศาสตราจารย์ ดร.ภญ. ศรีจันทร์ พรจิราศิลป์)
ภาควิชาเภสัชวิทยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
ภาพประกอบจาก : http://i.huffpost.com/gen/1387878/images/o-LIVER-facebook.jpg www.yaandyou.net
-Advertisement-


-Advertisement-

21 มิ.ย. 2559 เวลา 13:27 | อ่าน 7,197


รีวิวบ้านใหม่ ไอเดียสร้างบ้าน
-Advertisement-
 
มาใหม่
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ยินดี 4 มหาวิทยาลัยไทย จุฬาฯ-มหิดล-มช.-มข. สุดโดดเด่นในเวทีโลก ติดอันดับ Top 100 ในการจัดอันดับโลกด้านความยั่งยืนปี 2566
47 4 มิ.ย. 2566
ดวงกับดาวประจำวันที่ 4-10 มิถุนายน 2566
107 4 มิ.ย. 2566
สิทธิประโยชน์ของพนักงานราชการ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2566 พนักงานราชการลาไปช่วยภรรยาที่คลอดบุตร
67 3 มิ.ย. 2566
โฆษกรัฐบาลยืนยัน รัฐบาลให้ส่วนลดค่าไฟฟ้า 4 เดือน (พ.ค.-ส.ค. 2566) แก่ผู้ใช้ไม่เกิน 300 หน่วย/เดือน คืนจริงส่วนลดค่าไฟฟ้าเดือนพ.ค. 150 บาท/ราย แก่ผู้ใช้ไม่เกิน 500 หน่วย/เดือน
99 1 มิ.ย. 2566
กรมบัญชีกลางปรับปรุงอัตราค่าบริการสาธารณสุขฯ ด้านค่าบริการรังสีรักษา เพื่อให้สอดคล้องกับวิวัฒนาการทางการแพทย์ในปัจจุบัน
35 30 พ.ค. 2566
ดวงกับดาวประจำวันที่ 28 พฤษภาคม-3 มิถุนายน 2566
150 28 พ.ค. 2566
สพฐ. เปิดสอบครูผู้ช่วย 2566 ปฏิทินสอบรับสมัครสอบแข่งขันครูผู้ช่วย ปี 2566
219 21 พ.ค. 2566
กทม. เตรียมเปิดสอบเจ้าพนักงานธุรการทั่วไปเพิ่มกว่า 371 ตำแหน่ง
352 21 พ.ค. 2566
ดวงกับดาวประจำวันที่ 21-27 พฤษภาคม 2566
247 20 พ.ค. 2566
กรมอุทยานฯ ขอขึ้นเงินเดือนผู้พิทักษ์ป่าจาก 9,000 เป็น 11,000 บาท หลังไม่ขึ้นมาสิบปี
237 18 พ.ค. 2566
ดูเพิ่มเติม
 
หาเพื่อนไลน์
ซื้อขายรถบ้าน.com
เรียนภาษาอังกฤษออนไลน์
หางานราชการ
  English
TOEIC กับ การขึ้นเงินเดือน GED VS กศน ไทย (สอบเทียบไทย) แนะนำที่เรียน IELTS ยอดนิยม ของ เด็กอินเตอร์ TOEIC chulatutor จุฬาติวเตอร์
 บทความกลุ่มเดียวกัน