ผู้ได้รับหรือมีสิทธิได้รับเบี้ยหวัดตามข้อบังคับกระทรวงกลาโหม
ผู้ได้รับหรือมีสิทธิได้รับบำนาญปกติ บำนาญพิเศษเพราะเหตุทุพพลภาพ บำนาญพิเศษ หรือบำนาญตกทอด ในฐานะทายาทหรือผู้อุปการะหรือผู้อยู่ในอุปการะ ตามกฎหมายว่าด้วยบำเหน็จบำนาญข้าราชการ
ถ้าได้รับเบี้ยหวัดหรือบำนาญรวมกันทุกประเภทเมื่อรวม ช.ค.บ. แล้ว ต่ำกว่าเดือนละหนึ่งหมื่นบาท ให้ไดรับ ช.ค.บ. เพิ่มอีกในอัตราเดือนละเท่ากับส่วนต่างของจำนวนเงินหนึ่งหมื่นบาท หักด้วยเบี้ยหวัดหรือบำนาญทุกประเภท และ ช.ค.บ. ที่ได้รับหรือมีสิทธิได้รับ
การปรับเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ (ช.ค.บ.) มี 2 กรณี
1.ผู้รับบำนาญที่ได้รับเบี้ยหวัดบำนาญ ที่เคยได้รับการปรับ ช.ค.บ. มาก่อน ไม่ต้องรายงานตัวที่ส่วนราชการผู้เบิก กรมบัญชีกลางจะปรับ ช.ค.บ. และโอนเงิน ช.ค.บ. ให้ผู้รับบำนาญจึงจะได้รับเบี้ยหวัดบำนาญและ ช.ค.บ. รวมกันเป็นเดือนละ 10,000 บาท
2.ผู้รับบำนาญที่ได้รับเบี้ยหวัดบำนาญต่ำกว่าเดือนละ 10,000 บาท และยังไม่เคยได้รับ ช.ค.บ. มาก่อน จะยังไม่ได้รับเงินดังกล่าว ทั้งนี้ ให้ผู้รับบำนาญไปแสดงตนเพื่อยืนยันว่าไม่ได้กลับเข้ารับราชการหรือเข้าทำงานในสังกัดราชการส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น เพื่อยื่นคำขอเบิกเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญที่ส่วนราชการผู้เบิกบำนาญก่อน เพื่อให้ส่วนราชการผู้เบิกบำนาญแจ้งกรมบัญชีกลางให้โอนเงิน ช.ค.บ. ดังกล่าว ผู้รับบำนาญจึงจะได้รับเบี้ยหวัดบำนาญและ ช.ค.บ. รวมกันเป็นเดือนละ 10,000 บาท
สิทธิในการโต้แย้งผลการคำนวณบำเหน็จบำนาญไม่ถูกต้อง ผู้มีสิทธิต้องโต้แย้งภายในสองปีนับแต่ได้รับแจ้งผลการคำนวณ
บุตรไม่มีสิทธิได้รับบำเหน็จตกทอด เนื่องจากไม่ถือเป็นบุตรโดยชอบของผู้เสียชีวิต
การจ่ายบำเหน็จหรือบำนาญในกรณีผู้เคยรับบำนาญอยู่แล้วกลับเข้ารับราชการใหม่ แล้วออกจากราชการครั้งหลังโดยมีสิทธิได้รับบำนาญในครั้งหลังด้วย ถ้าการรับราชการในครั้งก่อนกับครั้งหลังต่างกระทรวง กรมกัน ให้รวมจ่ายบำนาญทางส่วนราชการที่ออกจากราชการครั้งหลัง
พระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. 2494 และที่แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 40 ได้กำหนดไว้โดยสรุปว่า ผู้ได้รับอันตรายถึงทุพพลภาพพราะเหตุปฏิบัติราชการในหน้าที่ แม้จะยังไม่มีสิทธิได้รับบำนาญปกติ ก็ให้ได้รับบำนาญปกติได้ ดังนั้น กรณีนี้ข้าราชผู้ได้รับอันตรายเพราะเหตุปฏิบัติราชการในหน้าที่แม้จะมีเวลาราชการไม่ถึงสิบปีก็จะสามารถได้รับบำนาญปกติ ซึ่งบวกกับบำนาญพิเศษด้วย
ไม่สามารถนำเวลาราชการมานับต่อได้ เนื่องจากกรณีดังนี้
1. การถูกไล่ออกจากราชการไม่มีสิทธิรับบำเหน็จบำนาญตามที่กฎหมายบัญญัติ และ
2. การล้างมลทิน ตามพระราชบัญญัติล้างมลทินในวโรกาสต่าง ๆ กฎหมายจะบัญญัติว่าการล้างมลทินตามที่กฎหมายบัญญัติไม่ก่อให้เกิดสิทธิแก่ผู้ได้รับการล้างมลทินในอันที่จะเรียกร้องสิทธิหรือประโยชน์ใด ๆ ทั้งสิ้น
สามารถกู้เพิ่มเติมได้ เนื่องจากเพื่อเป็นการช่วยเหลือผู้รับบำนาญและบรรเทาความเดือดร้อนในการครองชีพ จึงได้ดำเนินการให้ผู้รับบำนาญสามารถกู้เงินเพิ่มในส่วนที่เหลือกับสถาบันการเงินโดยใช้หนังสือรับรองสิทธิในบำเหน็จตกทอดเพื่อใช้เป็นหลักทรัพย์ประกันการกู้ฉบับเดิมได้ แต่จำนวนเงินที่กู้เดิมกับจำนวนเงินที่กู้เพิ่มรวมกันแล้วจะต้องไม่เกินจำนวนเงินที่ระบุในหนังสือรับรองสิทธิ
ระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการขอรับและการจ่ายบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. 2527 ข้อ 6 กำหนดให้ข้าราชการที่พ้นจากราชการเพราะเกษียณอายุให้ยื่นคำขอรับบำเหน็จ บำนาญล่วงหน้าได้เป็นเวลา 8 เดือนก่อนวันครบเกษียณอายุ
ไม่ได้ เนื่องจาก การลาติดตามคู่สมรส ไม่มีสิทธิได้รับเงินเดือนระหว่างลา จึงไม่สามารถนำเวลาราชการดังกล่าวมาคิดคำนวณเป็นเงินบำเหน็จบำนาญได้
ผู้รับบำเหน็จรายเดือนเมื่อถึงแก่ความตายให้จ่ายบำเหน็จตกทอด เป็นจำนวนสิบห้าเท่าของบำเหน็จรายเดือนให้แก่ทายาทหรือบุคคลซึ่งผู้ตายแสดงเจตนาไว้
ข้าราชการชายสามารถลาไปช่วยเหลือภริยาที่คลอดบุตรได้ แต่ต้องลาภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ภริยาคลอดบุตร จึงจะมีสิทธิได้รับเงินเดือนระหว่างที่ลาได้ไม่เกินสิบห้าวันทำการ และลาครั้งหนึ่งติดต่อกันได้ ไม่เกิน ๑๕ วันทำการ
พระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ.2494 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 24 วรรคสอง กำหนดไว้โดยสรุปว่า ในกรณีที่มีการประกาศใช้กฎอัยการศึกในเขตพื้นที่ใดให้คณะรัฐมนตรีมีอำนาจพิจารณาให้ข้าราชการและลูกจ้างประจำซึ่งประจำปฏิบัติหน้าที่อยู่ในเขตพื้นที่ที่ได้มีประกาศใช้กฎอัยการศึกนั้น ได้รับการนับเวลาราชการที่ปฏิบัติหน้าที่ในระหว่างนั้นเป็นทวีคูณได้ตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนด ดังนั้น เมื่อมีประกาศใช้กฎอัยการศึกจะไม่มาสามารถนับเวลาราชการเป็นทวีคูณได้ทันที แต่ต้องให้คณะรัฐมนตรีเป็นผู้พิจารณากำหนด จึงจะมีสิทธิได้นับเวลาราชการเป็นทวีคูณได้
การขอหนังสือรับรองบำเหน็จตกทอดค้ำประกันการกู้เงิน ผู้รับบำเหน็จรายเดือนต้องติดต่อยื่นคำร้องที่ส่วนราชการผู้เบิกของผู้รับบำเหน็จรายเดือน และดำเนินการตรวจสอบสิทธิในการขอรับหนังรับรองดังกล่าวของผู้รับบำหน็จรายเดือน พบว่าผู้รับบำเหน็จรายเดือนคุณสมบัติในการขอรับหนังสือรับรองดังกล่าวยังไม่ครบถ้วน เพราะไม่มีข้อมูลการแสดงเจตนาบุคคลอื่นในการรับเงินบำเหน็จตกทอด จึงแนะนำให้ติดต่อส่วนราชการผู้เบิกเพื่อแสดงเจตนาบุคคลอื่นและยื่นคำร้องขอหนังสือรับรองที่ส่วนราชการเบิก
กรณีที่ผู้รับบำเหน็จรายเดือนจะขอหนังสือรับรองค้ำประกู้เงินได้นั้นจะต้องเข้าหลักเกณฑ์ผู้มีสิทธิก่อน ซึ่งจะมีสิทธิขอหนังสือรับรองได้นั้นสำหรับผู้รับบำเหน็จรายเดือนซึ่งมีทายาทตามกฏหมายอยู่แล้วต้องมีการแสดงเจตนาให้มีบุคคลอื่นซึ่งไม่ใช่ทายาทตามกฏหมายสำรองการรับเงินบำเหน็จตกทอดด้วย ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่าข้อมูลการแสดงเจตนาเพื่อมีสิทธิขอหนังสือรับรับรงอยังไม่ได้ดำเนินการแนะนำให้ติดต่อส่วนราชการผู้เบิกดำเนินการเพิ่มข้อมูลบุคคลแสดงเจตนาและยื่นคำร้องขอหนังสือรับรองผ่านส่วนราชการผู้เบิก เมื่อกรมบัญชีกลางรับรื่องเรียบร้อยจะมีการอนุมัติหนังสือดังกล่าวและจัดส่งให้ผู้รับบำเหน็จรายเดือนตามลำดับ
ผู้รับบำนาญติดต่อส่วนราชการต้นสังกัดโดยทำเป็นหนังสือพร้อมแนบหลักฐานสำเนาทะเบียนบ้านแจ้งส่วนราชการเพื่อดำเนินการแก้ไขต่อไป
กรณีข้าราชการถึงแก่ความตาย ให้ขอรับเงินช่วยพิเศษได้ภายในเวลาหนึ่งปีนับแต่วันที่ข้าราชการ ผู้ซึ่งมีสิทธิรับเงินเดือนตาย
มีสิทธิขอรับบำนาญได้ เนื่องจากยังไม่ขาด อายุความ เพราะระเบียบมีอายุความ 3 ปี
เมื่อผู้มีสิทธิรับบำนาญได้รับบำนาญจากส่วนราชการผู้เบิกแล้วจะขอเปลี่ยนแปลงความประสงค์ในการขอรับบำเหน็จอีกไม่ได้
หากผู้รับบำนาญไม่มาแสดงตนหรือส่งใบรับรองการมีชีวิตให้เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบเกินกว่า 5 ปี สามารถตกเบิกเงินบำนาญ ค้างจ่ายได้ไม่เกิน 5 ปี
ข้าราชการซึ่งลาออกและรับบำนาญแล้วหากกลับเข้ารับราชการใหม่และขอนับเวลาราชการต่อเนื่องต้องงดรับบำนาญตั้งแต่วันกลับเข้ารับราชการหากเป็นสมาชิก กบข.ตอนก่อนออกจากราชการและได้รับเงินประเดิม เงินชดเชยและผลประโยชน์ตอบแทน จะต้องคืนเงินดังกล่าวให้แก่ กบข.ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนด สำหรับบำนาญที่ได้รับไปแล้วไม่ต้องคืนคลังและบำเหน็จดำรงชีพที่รับไปแล้วก็ไม่ต้องส่งคืนคลังเช่นเดียวกันและจะมีสิทธิขอรับบำเหน็จดำรงชีพเพิ่ม(รวมครั้งแรกไม่เกินสี่แสนบาท) ได้ต่อเมื่อพ้นจากราชการภายหลังและขอรับบำนาญ เมื่ออายุครบ 65 ปีบริบูรณ์ แต่ถ้าการออกครั้งหลังได้นับเวลาต่อเนื่องและขอรับเป็นบำเหน็จ จะถูกหักบำเหน็จดำรงชีพที่รับไปแล้วจากบำเหน็จปกติที่ได้รับเพื่อส่งคืนคลัง
พระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (ฉบับที่25) พ.ศ.2551มาตรา 8 ได้ยกเลิกมาตรา52แห่งพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ.2474ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 14กุมภาพันธ์ 2551ทำให้ผู้รับบำนาญซึ่งได้กระทำความผิดทางอาญาจนถูกพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกหรือตกเป็นบุคคลล้มละลายโดยคำพิพากษาถึงที่สุดของศาล ตั้งแต่วันที่14 กุมภาพันธ์2551 ยังคงมีสิทธิรับบำนาญปกติได้ต่อไป ดังนั้น กรณีของนาย ก. ถูกศาลพิพากษาโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกเมื่อวันที่30มิถุนายน 2551 ซึ่งเป็นวันหลังจากวันที่พระราชบัญญัติดังกล่าวมีผลใช้บังคับแล้ว นาย ก. จึงยังคงมีสิทธิได้รับบำนาญปกติต่อไป
หากข้าราชการที่มีอายุราชการ 23 ปี 9 เดือน 6 วัน อายุตัว 47 ปี 7 เดือน 26 วัน และมิได้ออกจากราชการด้วยเหตุทุพพลภาพ หรือเหตุทดแทน ก็จะไม่มีสิทธิได้รับบำนาญแต่จะมีสิทธิได้รับบำเหน็จ